ชายชรากับตะเกียง
หากผู้นำทางในความมืดกลับกลายเป็นชายตาบอด แล้วเหตุใดเขาจักต้องถือตะเกียงเพื่อนำทางเดินในความมืดด้วยเล่า หากคุณมีคนที่คุณห่วงใยเท่าชีวิต คุณจะเข้าใจว่าทำไมชายตาบอดจึงต้องถือตะเกียง
ผู้เข้าชมรวม
1,026
ผู้เข้าชมเดือนนี้
7
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีนักเดินทางคนหนึ่ง ได้มุ่งหน้าไปสู่เมืองใหญ่เมืองหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า “อนาคต” ชายผู้นั้นเดินทางมาจากเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งเรียกว่า “อดีต” เขาเริ่มต้นเดินทางมาตามทางเดินแห่งกาลเวลา ระหว่างทางเขาต้องผ่านเมืองที่วุ่นวายที่สุด คือเมือง “ปัจจุบัน” เมื่อชายนักเดินทางมาถึงเมืองปัจจุบันเขาก็รู้สึกเหนื่อยล้า และคิดจะแวะพักกลางทาง เขาจึงสอบถามชาวเมืองถึงระยะทางสู่เมืองอนาคต
“ท่าน ข้าอยากทราบว่าทางไปเมืองอนาคตยังอีกไกลไหม” ชายนักเดินทางเอ่ยถามชายคนแรกที่ได้เจอ
“ไม่ไกลหรอก เจ้าเดินไปตาม “ทางแห่งเวลา” ไม่นานก็จะถึงแล้ว เมืองอนาคตอยู่แค่เอื้อมเท่านั้นเอง แต่ข้าว่าเจ้าควรจะหาตะเกียงสักดวงไปด้วยนะ หากมืดค่ำจะอันตราย”
“ขอบคุณท่านมาก”เมื่อได้ยินเช่นนั้นชายนักเดินทางจึงตัดสินใจแอบงีบหลับเอาแรงใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งที่นอกเมือง โดยลืมนึกถึงคำเตือนของชายผู้นั้นเสียสนิท
หากแต่ว่าเมื่อเขาตื่นขึ้นมากลับพบว่ามันมืดค่ำมากเสียแล้ว เขาไม่มีตะเกียงแม้แต่ดวงเดียว และชาวเมืองต่างหลับใหล ประตูเมืองก็ปิดแล้ว เขาจึงลังเลว่าจะพักอยู่ตรงนี้ต่อไป หรือว่าจะเดินทางต่อไปยังเมืองอนาคต แต่กระนั้นก็เกิดปัญหา เพราะเขาไม่มีไฟ ไม่มีแม้เพียงตะเกียงดวงเล็กๆ แม้แต่ดวงเดียวเป็นแสงสว่างนำทางให้เขา เขาเพิ่งจะรู้สึกได้ว่าเขาควรจะเชื่อคำพูดของชายผู้นั้นหาตะเกียงสักดวงไว้ใช้ยามค่ำคืนเช่นนี้
เขาลังเลอยู่นานก่อนจะตัดสินใจเดินไปยังอนาคตต่อไป แต่ยิ่งเดินเท่าไรเขายิ่งพบแต่ป่ารกขึ้นทุกทีๆ เดินมาได้ระยะหนึ่งเขาจึงรู้ว่าเขาหลงทาง และหาทางกลับทางเดิมไม่ได้เสียด้วย เขาเดินวนไปเวียนมาอยู่กับทางที่หลงซ้ำๆ ซากๆ เช่นนั้นเป็นเวลานาน และแล้วบางสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เขาเดินตกลงไปในหลุมที่นายพรานขุดไว้ดักเหยื่อ เขาพยายามหาทางออกไปจากหลุมนั้นแต่มันก็สูงมากเสียจนเขาไม่สามารถตะเกียกตะกายขึ้นมาได้เสียที ในที่สุดชายนักเดินทางเริ่มท้อ นั่งลงไปกองอยู่ก้นหลุมนั้น เขาเริ่มคิดถึงคำเตือนของชายในเมืองคนนั้นอีกครั้ง คิดไปว่าตนเองจะเป็นอันตรายในป่านี้สักแค่ไหน จะมีสัตว์ร้ายมาทำร้ายเขาหรือไม่ กลัวแม้กระทั่งผีสางที่เขาเองยังไม่เคยเจอ เขานั่งคิดกังวลซ้ำไปซ้ำมา รอเวลาเช้าเท่านั้นเอง
ระหว่างที่เขากำลังกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่นั่นเอง มีแสงสว่างวับๆ แวมๆ มาจากทางทิศตะวันออก แรกนั้นเขาคิดว่าอาจเป็นตาของสัตว์ร้าย เขาจึงนั่งเงียบไม่ส่งเสียงใดๆ จนแสงนั้นผ่านไป อีกเพียงสักครู่แสงนั้นก็กลับมาอีก และดูเหมือนจะใกล้กว่าเดิม เขากลับคิดว่ามันเป็นแสงของผีสาง เขาจึงนั่งเงียบไม่ไหวติงเช่นครั้งก่อน ขณะนี้ก้นหลุมกับดักนั้นก็ได้กลายเป็นที่ที่เขาคิดว่าปลอดภัยที่สุดไปเสียแล้ว
จนกระทั่งครั้งที่สาม แสงวับแวมนั้นเข้ามาใกล้เขามาก จึงทำให้เขาเห็นว่ามันเป็นแสงตะเกียงที่ชายชราคนหนึ่งถือไว้ในมือ เขาดีใจมากเขารีบตะโกนขอความช่วยเหลือทันที
“ท่าน ท่านลุง ช่วยข้าด้วย” ชายนักเดินทางตะโกนพลางลุงขึ้นโบกไม้โบกมือ
“อ้อ พ่อหนุ่มอยู่นั่นรึ” ชายชราพูดพลางเดินตามเสียงของชายหนุ่มไป
“ข้าหลงทาง ช่วยข้าด้วย ข้าไม่มีแสงสว่างนำทาง ดึงข้าออกไปจากหลุมที” ชายหนุ่มละล่ำละลักบอก
“ข้ารู้ ที่ข้าต้องออกมาเดินตอนกลางคืนเสมอๆ ในป่า ก็เพราะต้องการช่วยเหลือคนหลงทางอย่างเจ้านี่ล่ะ” ชายชราตอบพลางคว้าแขนของชายหนุ่มดึงขึ้นมาจากหลุม
“ท่านดึงข้าแรงๆ หน่อยสิ ข้าขึ้นไปเองไม่ไหวแล้ว” ชายหนุ่มพูดเสียงแผ่วเบา
“ข้าก็แก่แล้ว พ่อหนุ่มเองต้องช่วยดันตัวเองขึ้นมาด้วยสิ ไม่เช่นนั้นข้าจะดึงเจ้าขึ้นมาได้อย่างไร” ชายชราตอบน้ำเสียงอ่อนโยน
“แต่ข้าอ่อนระโหยโรยแรงเต็มทีแล้ว” ชายหนุ่มแก้ตัว
“ถ้าเช่นนั้นเจ้ายิ่งต้องพยายาม” ชายชรายังคงพูดด้วยความเห็นใจ
“แต่ข้าก็พยายามอย่างที่สุดแล้ว” ชายหนุ่มยังคงหาเหตุผลให้ตัวเอง
“ความพยายามไม่มีที่สุดหรอก มันมีแต่คำว่าพยายามมากพอหรือยังเท่านั้นล่ะ”
“โธ่ ท่านจะช่วยข้าหรือไม่ท่านลุง” ชายหนุ่มเริ่มโมโห
“ช่วยสิ ข้าช่วยเจ้าแน่ แต่เจ้าต้องช่วยตัวเองก่อน ไม่เช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าได้อย่างไร” ชายชราให้เหตุผล และก็ได้ผล ชายหนุ่มคิดได้ว่าตนเองต้องใช้กำลังของตัวเอง ตะเกียกตะกายขึ้นมาอย่างน้อยก็ครึ่งหลุมให้ได้ก่อน ชายชราเป็นเพียงผู้มาช่วยประคองเขาให้พ้นปากหลุมนั้นเท่านั้น จนในที่สุดชายนักเดินทางก็ขึ้นมาจากหลุมดักสัตว์นั้นได้
“ข้าขอบคุณท่านลุงมาก” ชายหนุ่มเอ่ยขอบคุณอย่างเขินอาย
“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าหนุ่ม มันเป็นหน้าที่ของข้า” เขาพูดพลางใช้มือคลำหาตะเกียงที่พื้นดิน
“เอ๊ะ ท่านลุง ท่านมองไม่เห็นหรือ” ชายหนุ่มถาม เมื่อเห็นกริยาของผู้มีคุณ
“ใช่ ลุงมองไม่เห็น”
“แล้วทำไมท่านลุงจึงใช้ตะเกียงเล่า”
“เพราะเจ้าจะได้เห็นข้ายังไงล่ะ ข้าใช้ตะเกียงเป็นแสงสว่างให้เหล่าคนหลงเห็นข้า มิใช่เพื่อให้ข้ามองเห็นคนหลงทาง”
“เหตุใดท่านจึงทำเช่นนี้เล่า” ชายหนุ่มถามด้วยความใคร่รู้
“เพราะข้าเองก็เป็นคนตาบอดที่หลงทางในเมืองเสมอ ดังนั้นข้าจึงเข้าใจดีว่าเวลาหลงทาง และมองทางไม่เห็นนั้นมันเป็นเช่นไร” ชายชราหยุดหายใจสักครู่ก็พูดต่อ
“ข้าอาศัยอยู่ในป่านี้ตั้งแต่เกิด แม้จะมองไม่เห็นข้าก็รู้จักป่านี้ดี พอๆ กับเจ้ารู้จักทางในเมืองของเจ้านั่นล่ะ ข้าจึงเป็นเพียงผู้เดียวที่จะสามารถนำคนหลงทางออกไปจากป่ายามมืดมิดเช่นนี้ได้อย่างไรล่ะ”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง” ชายหนุ่มพะยักหน้า แสดงความเข้าใจ
“เอาล่ะ เจ้าจงรับตะเกียงนี้ไปเสีย” ชายชราพูดพร้อมยื่นตะเกียงให้หนุ่มนักเดินทาง
“อ้าว แล้วท่านลุงไม่ไปส่งข้าให้ถึงเมืองอนาคตหรอกหรือ” ชายหนุ่มชักสีหน้าผิดหวัง
“ไม่ได้หรอก เจ้าต้องเดินไปเอง ข้าจะคอยถือตะเกียงนำหน้าเจ้าตลอดเวลาไม่ได้หรอก ข้าทำได้เพียงแค่นำคนหลงทางเข้าสู่ทางหลักก็เท่านั้นเอง”
“อ้อ ถ้าเช่นนั้นข้าก็ลาท่านลุงเลยละ” ชายหนุ่มพูดพร้อมโค้งทำความเคารพ
“เจ้าอย่าลืมล่ะ ว่าการเดินทางจำเป็นต้องมีตะเกียง แม้จะต้องใช้หรือไม่เจ้าก็ต้องเตรียมการไว้ และอีกอย่างหนึ่ง จงอย่าให้ใครถือตะเกียงให้เจ้า เพราะทางเดินแห่งกาลเวลาที่นำไปสู่อนาคตน่ะมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าควรจะเลี้ยวไปทางใด สิ่งที่ข้าทำให้เจ้าได้ก็เพียงนำเจ้าออกมาจากป่ารกสู่เส้นทางที่สมควรจะเดินและมอบตะเกียงให้เจ้าเท่านั้น” พูดจบชายชราก็เดินหายลับไปในความมืด เพื่อเสาะหาคนหลงทางคนอื่นๆ อีกต่อไป
ผลงานอื่นๆ ของ มิรันตรา ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ มิรันตรา
ความคิดเห็น